ถ้าพูดถึงการจะให้อะไรนั้น เราอาจจะมองไปถึงหลักที่สวดสรรเสริญกันว่า ชี้ทางบรรเทาทุกข์ ชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย เพื่ออะไร
เพื่อกำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง
สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ หรืออาจจะมองไปในแนวที่เราสวดสรรเสริญพระธรรมกันว่า
ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร
ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์
ผลประโยชน์ที่เราจะได้ก็คือ
ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล
เพราะฉะนั้น ธรรมะก็เป็นเครื่องชี้ช่องทางชีวิต เป็นการบอกให้ได้ทั้ง ๒ อย่าง คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ เพื่อบุคคลผู้ศึกษาเรียนรู้แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติให้เกื้อกูลแก่ฐานะอาชีพ ภารกิจการงานต่างๆ ของตนเป็นต้น และได้รับผลคือความสุขในชั้นนั้นๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงประโยชน์ที่บุคคลจะพึงได้จากพระศาสนาไว้ถึง ๓ ระดับ คือ ประโยชน์ในชีวิตปัจจุบันในโอกาสต่อๆไป
ปัญหาที่ควรทำความเข้าใจในเบื้องต้น คือสิ่งที่พระพุทธศาสนาให้แก่ศาสนิกนั้น เป็นการให้ในขอบข่ายของพระพุทธศาสนา นั่นคือการกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล อำนวยความสุขแก่มหาชน และเป็นการอนุเคราะห์ต่อชาวโลก ด้วยการแนะนำสั่งสอน เพราะศาสนาแปลว่า "คำสั่งสอน" สิ่งที่พระพุทธศาสนาให้จึงเป็นการให้คำสั่งสอนอันเป็นหลักในการดำรงชีวิตเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ความสุขแก่บุคคล ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ ตลอดถึงโลกอันเป็นส่วนรวม ซึ่งท่านสรุปรวมเป็นประโยชน์ ๓ ระดับ ที่คนผู้ต้องการประโยชน์จากพระพุทธศาสนา จะต้องศึกษาแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ตามที่ท่านแสดงไว้ด้วย
"การรู้ว่าอะไรเป็นอะไรในปรากฏการณ์ของธรรมชาติ รู้โทษของความชั่วทั้งหลายแล้วพยายามบรรเทา ระงับ ดับ ละ กำหนดเป้าหมายที่จะเดินไปให้ถึงในขึ้นใดขึ้นหนึ่ง ลงมือประพฤติปฏิบัติตามหลักการและวิธีการ เพื่อบรรลุประโยชน์นั้นๆ ตามที่ทรงแสดงไว้"
ที่มา :- พระพุทธศาสนาให้อะไร พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) วัดบวรนิเวศวิหาร
Comments